วันอาทิตย์

ไพเบี้ย "ผู้สามหาว"


ไพเบี้ย ผู้สามหาว

ไพเบี้ย..ฉายาผู้สามหาว ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน แต่มาเป็นที่รู้จักไปทั่ว ก็ตอนที่รับตำแหน่งหัวหน้าลี่ปู้ของกรมธรรมการ(ทำหน้าที่บวงสรวงพิธีกรรม และกำกับดูแลหลวงจีน นักพรต..คล้ายๆกรรมาธิการทางด้านศาสนา)

บ้างก็ว่าอดีตเคย "โกงเงินหลวง" สามร้อยหมื่นตำลึงให้ "แม่บ้าน"ของตัวเอง โดยใช้วิธี "กู้ยืม" จากกรมท้องพระคลัง "แล้วตกแต่งบัญชีเท็จ" โดยอาศัยเส้นสายของ"ฮูหยินเป็ด"

บ้างก็ว่าเคยไปทำการเกษตรใหญ่โต "ปลูกมะเขือเทศ" หลอกลวงชาวไร่ชาวนามาลงทุน ได้เงินไปหลายร้อยหมื่นตำลึง "ตอนหลังหอบเงินหนี" โดยการ "ติดสินบน"ให้เจ้าหน้าที่ทางการ

ไม่ว่าอย่างไรถือว่าเป็นคนมีแววตา มองการเมืองทะลุ จึงไปเข้าร่วมกับ "พรรคเทพแห่งเทือกเขาแดนใต้" แต่ไม่ออกหน้า คอยทำงานประสานอยู่ด้านหลัง



 กลุ่ม 40 ลี่ปู้
เมื่อคราว"ยิ่งเล่อเหนียงๆ"ขึ้นเป็นประมุขบู๊ลิ้ม จับกลุ่มกันเป็น"40ลี่ปู้"(ประมาณว่า 40 ส.ว)  คอยขัดแข้งขัดขา ตีรวนชวนทะเลาะ หาเหตุฟ้องร้องวุ่นวาย มิให้การประชุมสงบแม้ซักวันเดียว

หลังจากท่าน "ป๊ะยุด" ยึดอำนาจมาจากยิ่งเล่อเหนียงเหนียง จึงตอบแทนด้วยตำแหน่ง"หัวหน้าลี่ปู้"ของกรมธรรมการ แต่ตอนหลังยังก่อเหตุวุ่นวาย โดนหลวงจีนทั้งประเทศประท้วง จึงโดนถอดถอนออก

ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วว่า ยังคอยเป็น"สุนัขรับใช้"ให้กับองค์กรลับ และคอยให้การสนับสนุน"เจ็กเตี้ยมอึ้ง"

ไพเบี้ยนั้นมีสมุนคนสนิทอยู่คนหนึ่งชื่อว่า"ม่อน๋าว"แบบว่าไปไหนไปด้วย "ร่วมหัวกันทำความชั่ว" โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ "ล้มการปกครองขององค์กรสงฆ์"

การแต่งตั้ง"สังฆราชา"ที่ล่าช้ายืดเยื้อมาหลายปี ก็ต้องถือเป็นผลงานของไพเบี้ย กับ ม่อน๋าว ที่ร่วมกันเปิดประเด็นขึ้น แล้วส่งลูกให้กับ "หลวงจีนทุศีลอี้ซาร่า" รับไปต่อจนถึงผู้ตรวจการมณฑล(เนื้อเรื่องอยู่ในตอนขึ้นบู๊ตึง)

ล่าสุด "สามโฉดแห่งตงง้วน" (ไพเบี้ย ม่อน๋าว และอี้ซาร่า) ได้ร่วมกันก่อคดีใส่ร้ายท่าน "จ๋างเหล่า" ผู้เป็นมหาสมณแห่งวัดใหญ่ โดยความร่วมมือของตัวเล็กตัวใหญ่ใน"สิ่งปู้"(ดูแลด้านกระบวนการทางกฏหมาย..ประมาณว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ)

จากคดีที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เป็นการ "รับเงินบริจาค" ธรรมดา จากผู้มาแสวงบุญ ก็เป็นเหมือนกันทุกวัดทั้งแผ่นดิน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

แต่เมื่อถึงมือขุนนางโจร ที่รวบอำนาจโดยพลการ ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งกลุ่มก๊วน "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" เออออสอพลอเพื่ออำนาจยศศักดิ์

"ขุนนางโจร"เหล่านี้ แม้จะรวบอำนาจรัฐอยู่ในมือ แต่ก็ขาด"ความชอบธรรม" คดีที่เหมือนจะรังแกกันได้ง่ายๆ กลับเป็นที่จับตาของทวยราษฎร์ ตลอดจนทูตานุทูตที่ประจำอยู่ในเทพนคร


หัวหน้าองค์กรลับ
"กำแพงมีหู ประตูมีช่อง" อาจจะด้วยที่ทำงานล่าช้า โดนกำหนดเส้นตาย ที่อาจหมายถึงชีวิตของผู้ที่ร่วมปฏิบัติการ ไพเบี้ยผู้สามหาวจึงได้รำพึงหลังเมามายว่า "ถ้าทำงานไม่สำเร็จ พวกเราก็คงเสร็จ"

"ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง" ผู้ที่เคยทำบาป ก่อกรรมทำเข็ญ ขอให้กลับตัวกลับใจ ย่อมมีทางให้เดินต่อไป ไม่ต้องจมอยู่ในทะเลทุกข์อีกต่อไป

ใครคือผู้ที่ ไพเบี้ยผู้สามหาวเกรงกลัว แล้วทำไมจะต้องรังควานหาเรื่อง กับท่านมหาสมณแห่งวัดใหญ่

บุคคลกลุ่มนี้ จะเชื่อคำสอนของพุทธองค์.. ยินยอมกลับตัวกลับใจ หรือจะยังประพฤติตนเป็นผู้ที่ "มิเห็นโลงศพ มิหลั่งน้ำตา" ก็คงต้องติดตามกันต่อไปนะคราบ

พ.พเนจร




วันจันทร์

กรมสอบสวนพิเศษ




เครื่องประหารตามความชั่ว

สมัยก่อนนี้เวลามีคดีความ ต้องส่งเรื่องถึง "สำนักมือปราบ" ในกรมความมั่นคงแผ่นดิน...(ประมาณกองปราบปรามในกรมตำรวจ) ทำการสืบสวนหาข่าว ส่งเรื่องขึ้นไปตามลำดับชั้นจนกว่าจะถึงศาลไคฟง

เป็นเพราะการพิจารณาคดีนั้น "ขั้นตอนเยอะ" ต้องใช้เวลานานและมักมีการ "ติดสินบน" เจ้าหน้าที่ทางการ ทำให้รูปคดีพลิกเปลี่ยน ผู้ต้องหาลอยนวล สร้างความเจ็บช้ำใจให้แก่เจ้าทุกข์ผู้ยากไร้

ในสมัยท่านประมุขทั่งสิน จึงตั้ง "กรมสอบสวนพิเศษ" นี้ขึ้นมาเพื่อให้การดำเนินคดีมีความรวดเร็วและโปร่งใส หวังจะให้เป็นที่พึ่งแก่ราษฎร โดยไม่ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลใดๆ

กรมสอบสวนพิเศษจึงถือกำเนิดเกิดขึ้น เพื่อรับเอาคดีสำคัญๆที่เป็นที่สนใจ และ มีผลต่อความมั่นคงของแผ่นดินตงง้วน หวังให้เป็นการสืบสวนที่ "รวดเร็วและเป็นธรรม"

ใครจะคาดคิด  ความปรารถนาดีที่ต้องการผดุงคุณธรรมของท่านทั่งสิน ปัจจุบันจะกลายเป็นแขนขาที่ "ขุนนางกังฉิน" ได้ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เสมือนมี "กระบี่อิงฟ้า" อยู่ในมือ

กรมสอบสวนพิเศษในตอนนี้  ซึ่งอยู่ใต้สังกัดของ "ตงฉ่าง" ในความดูแลของ "บิ๊ต๊อก" จึงได้อุปโลก์มือปราบขึ้นมาซักสองสามคน แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้า ทำหน้าที่เป็นงิ้วหน้าโรง

ทำการปล่อยข่าวลวงสร้างข่าวเท็จ ปรักปรำศัตรูการเมือง แม้แต่แก้แค้นส่วนตัว หรือขจัดหนามที่ทิ่มนัยน์ตา โดยมิต้องไปสนใจกฏหมายใดๆ เพราะถือ "อำนาจสิทธิ์ขาด" ในการทำคดี

"บิ๊ต๊อก" หัวหน้าคนปัจจุบันนั้น เป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วว่า เป็นลูกค้าอันดับหนึ่งของบ่อนพนันเบ็ดเงิน เคยเล่นได้เสียที่ละหลายร้อยหมื่นตำลึง... (ตอนหลังบ่อนนี้ถูกเล็กเซียวหงส์ทลายไป)

หลังจากนั้นเลยต้องแอบหนีไปเล่นถึงโพ้นทะเล "เกาะเม้าก๋า" เรียกว่าถ้าบิ๊ต๊อกไปถึง เหล่าเฒ่าแก่แม่เล้าเป็นต้องลูบปาก อุทานออกมาว่า "เซี่ยมหล่อตือ" มาแล้ว

บิ๊ต๊อกนั้นความสามารถอื่นใดไม่ปรากฏ แต่เรื่องประจบสอพลอนั้น ต้องถือว่าถึงขั้น "สุดยอด" อีกทั้งกล้าทำชั่วทุกรูปแบบ เรียกว่าถ้าสิบคนโฉดในหุบเขาคนโฉดเจอกับบิ๊ต๊อก ยังต้องค้อมศรีษะจรดพื้นเรียกหาว่า "ตั้วเฮีย"

คดีที่สะเทือนเลือนลั่นทั่วยุทธภพ ส่ง "ชื่อเน่าๆ" ของบิ๊ต๊อกให้เหม็นคละคลุ้งไปทั่วแผ่นดิน ก็คือเรื่องที่จะไปหาความกับท่าน "สังฆราชา" กล่าวหาว่าท่านมี "รถม้าหรูเกิน" แต่ตอนหลังโดนตบะบารมีของท่านสังฆราชา ข่มจนระย่นย่อไป

"งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข" ฉันใด จะให้บิ๊ต๊อกทำเรื่องดีๆนั้นอย่าได้เพ้อฝัน จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปรังควานหาเรื่องท่าน "จ๋างเหล่า" ผู้ทรงธรรม โดยแอบสั่งการไปยังกรมสอบสวนพิเศษ

เนื่องจากท่านจ๋างเหล่าผู้เป็นมหาสมณนั้น มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย กระจายไปทั่วแผ่นดินทั้งในตงง้วนและโพ้นทะเล จากเศรษฐียันยาจก ทั้งชราและทารกทุกระดับชั้น

แม้มิอาจสู้ได้ด้วยวรยุทธ์ เพราะห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว จึงอาศัยช่อง โหว่ของกฏหมายบ้านเมืองซึ่งตัวเองถืออยู่ในมือ "กล่าวตู่" ท่านมหาสมณ ว่ารับเงินบริจาคเป็นของส่วนตัวแถมไม่เสียภาษีเข้าท้องพระคลัง

ท่านมหาสมณท่านคร้านที่จะสนใจ ให้เสียเวลาบำเพ็ญธรรมของท่าน เพียงแค่ลมปราณคุ้มกายของท่าน หากศัตรูใดเข้ามาในรัศมีสิบวา ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไป

เพียงแต่ท่านถือหลักเมตตา รู้ว่าสรรพสัตว์นั้น "ไม่เป็นตัวของตัวเอง มิใช่ศัตรูที่แท้จริง" จึงมิได้เอาเรื่องเอาราวกับใคร บำเพ็ญสมณธรรมของท่านไป


หัวหน้าองค์กรลับ
ส่วนบิ๊ต๊อกที่เสียหน้า ว่าตัวเองมิได้อยู่ในสายตาของท่านมหาสมณ บวกกับ "คำสั่ง" ลึกลับจากหัวหน้าองค์กรลับที่เป็น "ลูกพี่" ของตัวอีกที ว่าจะต้องหาทางรังควานท่านมหาสมณให้จงได้

ใครคือลูกพี่ของ "บิ๊ต๊อก" แล้วลูกพี่ผู้นั้น จะมีฝีมือที่แตกตื่นสะท้านโลกถึงระดับใด จึงมียอดฝีมือมากมายสวามิภักดิ์รับใช้ ทั้งสามารถสร้างเครือข่ายดุจใยแมลงมุม ครอบคลุมทั่วยุทธภพ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปหละครับ

พ.พเนจร





วันศุกร์

หนึ่งจุดเหลือง


หนึ่งจุดแดง

เหตุเกิด ณ แผ่นดินอันไกลโพ้นกลางทะเล มี "มะพร้าว" ปลูกเต็มไปทั่วผืนดิน ชาวเรือทั้งหลายจึงพร้อมใจกันเรียกว่า..​ กะลาแลนด์ แดนมะพร้าว !!!


หนึ่งจุดแดง... เป็นบุรุษ เป็น "นักฆ่า" ใช้กระบี่ที่ทั้งแคบทั้งเรียว ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด.... 

จวบจน "เขา" พลิ้วกายหายไปแล้ว ค่อยปรากฎ "จุดแดง" บนคอหอยของศัตรู อันเกิดจากปลายกระบี่ เห็นถึงฝีมือที่ทั้งรวดเร็ว.. ดุดัน

หนึ่งจุดเหลือง... เป็นขบวนการ เป็นองค์กร "จัดตั้ง" ใช้มวลชนต่อสู้กับทางการ....

มีผ้าโพกหัวสีเหลืองเป็น "สัญลักษณ์" กับ "ขลุ่ย" ไม้ไผ่สามสี ไว้คอย "เป่า" ไล่ศัตรูให้เกิดความ...ครั่นคร้าม





หนึ่งจุดเหลือง... หลังจากโค่นประมุขบู๊ลิ้ม "ทั่งสิน" ได้ ก็ยิ่งสยายปีก ขยายอิทธิพล "ครอบคลุม" ไปทุกวงการ.... 

ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า.. คหบดี.. นักแสดงงิ้ว.. ขุนนางบุ๊น.. ขุนพลบู๊.. จนสามารถ "แทรกซึม" เข้าไปในราชสำนัก "ซื้อตัว" นางสนม กำนัล ขันที แม้กระทั่ง.. หมอหลวง !!!!

จนกล่าวได้ว่าสามารถใช้ "ฝ่ามือบังฟ้า" พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เรียกลมเรียกฝนกันได้ทีเดียว....

เช่นคดี "ฆาตกรรม" ที่เกิดขึ้นบนชั้นที่ 6 ใน กรมสอบสวนพิเศษ อย่างมีลับลมคมใน.. "หมอหลวง" ที่ทำหน้าที่ "ชันสูตรศพ" นอกจากจะรู้ "สาเหตุ" ของการตายแล้ว ว่าเกิดจาก "ตับแตก" ยังสามารถ "ทำนาย" ว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจของการฆาตกรรม.. สุดยอด !!!!!




ราษฎรในเทพนคร "ล้วนกินดีอยู่ดี" เพราะรับใช้ราชสำนัก.. มีเบี้ยหวัดรายปีกิน ไม่ต้อง "ทุกข์ยาก" ในการประกอบอาชีพ....  

บ้างก็เปิดร้านแลกเงิน มี "ทางการ" คอยค้ำประกัน....  

บ้างก็ตั้งโรงกลั่นสุรา "ผูกขาดการค้า" ล้วนไม่มีความเสี่ยงในการลงทุน.... 

คณะ "ละครงิ้ว" ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาแสดง สร้างความรื่นเริงบรรเทิงใจให้แก่ผู้คนในเทพนครจึงพลอยได้ทำ "กำไรอย่างงาม"          




กล่าวได้ว่าหากผู้ใด "ปราถนา" จะมีความสุขสบายไม่ต้อง "ดิ้นรน" ทำอะไรให้มาก...

แค่เอาผ้าเหลืองมาโพกศีรษะ แขวนขลุ่ยสามสีไว้ที่ลำคอ กล่าวโทษ "อดีตประมุข" ก็จะได้รับการชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี....

และถึงแม้จะมี "ประมุขบู๊ลิ้ม" เกิดขึ้นอีกหลายท่านในภายหลัง แต่ก็ล้วนมิสามารถที่จะกระทำการใหญ่ใดๆได้เลย....  

เพราะจะถูกขบวนการ "หนึ่งจุดเหลือง" คอยสะกัดขัดขวางและหาทางโค่นล้มลงจากตำแหน่ง....

โดยอาศัย "ฝ่ายกฎหมาย" คอยหาช่องว่างรอยโหว่ แล้วรีบส่งให้ศาลไคฟง "ตัดสิน" ไปตามใบสั่ง

สร้างความ "อยุติธรรม" อย่างออกหน้าออกตา..!!! 



แผ่นดินมะพร้าว

ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของ "แผ่นดินมะพร้าว" ราษฎรแม้จะ "ทุกข์ยาก" ลำบากเพียงไหน จะมี "ภัยพิบัติ" ใดๆเกิดขึ้น....  

ไม่เว้นแม้แต่มี "ศึกสงคราม" กับชนชาติป่าเถื่อน  แต่ก็ยัง "รักใคร่" สามัคคีกันดี จะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันมั่ง.... 

แต่ก็มิเคย "อาฆาต" มาดร้าย คิด "เข่นฆ่า" กันเองให้พินาศย่อยยับ "เกลียดชัง" กันเองยิ่งกว่าศัตรูจากต่างถิ่นดังเช่นในยุคนี้....

ขบวนการ "หนึ่งจุดเหลือง" ได้สร้างความ "แตกแยก" อย่างใหญ่หลวงให้ "เกิดขึ้น" บนผืนแผ่นดินอย่างที่มิเคยมีมาก่อน.... 



แม้แต่ใน "ศาสนจักร" ซึ่งพอจะเป็นที่พึ่งให้แก่ราษฎรในยามทุกข์ยาก ก็ยังมี "เภทภัย" ลามเข้าไปถึง....  

"สุนัขรับใช้" ดังเช่นหลวงจีนทุศีล อี้ซาร่า ที่ถือดีว่าตัวเองมีวิชา "ระฆังทองคุ้มกาย" ก็คอยตีฆ้องร้องป่าวสร้างความ "มัวหมอง" ให้เกิดขึ้นแก่สถาบันสงฆ์....

"ขุนนางกังฉิน"  ไพเบี้ยผู้สามหาว ก็เที่ยวฟ้องร้องไปยังกรมกองต่างๆ  "กล่าวตู่" ท่าน "สังฆราชา" ต่างๆนาๆ....

ความ "แตกแยก" ของคนในชาติที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ก็ยิ่งทวีความ "ร้าวฉาน" ขึ้นไปอีกนับร้อยเท่าพันทวี....

ความเคารพที่เคยมีต่อ "สงฆ์" กลายมาเป็น "วิกฤตศรัทธา" อย่างที่มิเคยปรากฏเกิดขึ้นมาก่อน.... 




เมื่อ "ฐานราก" ของการปกครองคือความ "ยุติธรรม" เหือดหาย ศูนย์รวมใจของราษฎรคือสถาบันสงฆ์ก็ถูก "คุกคาม" อย่างหนัก....  

สถานการณ์อันเลวร้ายใน "ยุทธภพ" ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายสิบปี ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ.. หนึ่งจุดเหลือง  

จะดำเนินต่อไปอีกยาวนานหรือจะมาถึงสุดทาง..

โดยเฉพาะเมื่อ "พี่ใหญ่" ของขบวนการหลังจากที่ "ทำงาน" สำเร็จเสร็จสิ้น แต่เนื่องจากเกาะกุม "ความลับ" ไว้มากเกินไป เลยต้อง "รับโทษ" เป็นเวลาถึง.. ยี่สิบปี !!!!

ก็หวังว่าคงจะไม่เกิดเป็นคดี "ปริศนา" เหมือนกับคดี "ตับแตก"  ดังเช่นเจ้าหน้าที่ผู้น้อยที่ทำงานใน.. กรมที่ดินแดนทักษิณ


เจ้าชายม้าขาว


การ "สิ้นสุด" ของพี่ใหญ่แห่ง.. หนึ่งจุดเหลือง จะทำให้ "ขบวนการ" จบสิ้น หรือจะมี "ทายาท" คนใหม่มารับช่วงงาน "สืบสาน" กันต่อไป..

ความอดทนอดกลั้นของ "ราษฎร" ที่ทุกข์ยาก จากการถูกกดขี่ ข่มเหงจากความ "อยุติธรรม" ทั้งหลาย...

และการที่ "สถาบันสงฆ์" ถูก "คุกคาม" รายวันจากขุนนาง "กังฉิน" ตลอดจนเหล่า "มือปราบ" ที่พยายาม "ยัดเยียด"  ข้อหาอย่างตลอดต่อเนื่อง..

ท้ายสุดนี้จะได้มี "ยอดคนงำประกาย" หรือ "เจ้าชายขี่ม้าขาว" มากอบกู้  "แผ่นดินมะพร้าว" นี้หรือไม่ .... ก็คงต้องติดตามกันต่อไปนะครับ

พ.พเนจร



หลวงจีนทุศีล"อี้ซาร่า"




พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน "ยุทธภพ" ช่วงนี้ หากไม่เอ่ยถึง หลวงจีนทุศีลอี้ซาร่า ก็คงจะไม่สมบูรณ์ เหมือน "เจี๊ยก๋วยเตี๋ยวไม่มีตะเกียบ ไปเที่ยวแต่ไม่มีสตางค์"

หลวงจีนท่านนี้ มีประวัติโชกโชน ทั้งกรรโชกทรัพย์จากโรงเตี๊ยม ทั้งปิดเส้นทางคมนาคม บางทีก็แอบโรยตะปูเรือใบ แบบว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับศีลหรือวินัยนั้นไม่ต้องพูด เพราะท่านถือคติว่า "สุราเนื้อผ่านลำไส้ วินัยนั้นอยู่ในใจ"...คือไม่จำเป็นต้องเอาออกมาใช้

ท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ใกล้ตัวว่า ท่านนั้นแท้จริงแล้วคือ นักพรตผู้มีฌานกลับชาติมาเกิด เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่า ท่านจะดูอายุยังน้อย แต่ต้องนับอายุชาติที่แล้วของท่านด้วย...น่าจะรีบให้กลับไปเกิดใหม่อีกซักรอบ

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึง "มักอย่างมาก" ที่จะให้คนเรียกท่านว่า "จ๋างเหล่า"(หมายถึงบวชมานานประมาณว่าหลวงปู่)  แทนที่จะเรียกว่าหลวงจีน เพราะมันดูมีเครดิตดีกว่ากันเยอะเลย จ๋างเหล่าอี้ซาร่า..แหมม ฟังแล้วยังเคลิ้มเลย

หลวงจีนอี้ซาร่านั้น ในอดีต เคยถูกขับออกจากสถาบันสงฆ์ เนื่องเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะได้ตำแหน่ง "ต้าซือ" ที่ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรได้ และสามารถปกครองหลวงจีน ในเขตเมืองรอบนอก ถึงกับ โกงอายุพรรษาให้เข้ากับกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่โดนจับได้ซะก่อน

เมื่อเรื่องเงียบลง ก็แอบกลับมาใหม่ พร้อมกับ ความแค้นในใจ ที่มีต่อจ๋างเหล่าทั้งหลายทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นตัวแทนใน "สมาคมจ๋างเหล่า" ที่คอยดูแลบริหารสถาบันสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ที่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา





คิดไปคิดมา คิดจนธาตุไฟเข้าแทรก "กระอักเลือดไปเจ็ดวัน" แต่แค้นนี้ต้องชำระ จึงยอมตัวเป็น "สุนัขรับใช้" ให้กับ องค์กรลับ เพราะหวังว่าวันหนึ่งจะต้องโค่นสมาคมจ๋างเหล่าให้ได้ แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น สังฆราชาพ่วงด้วยตำแหน่งราชครู





ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรอะไรก็มารวมกันหละทีนี้ "องค์กรลับ" ที่มีเป้าหมายจะควบคุม "ยุทธภพ" แบบลับๆ ก็เลยได้หลวงจีนอี้ซาร่ามาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน อาศัยจีวรของพระพุทธองค์ บวกกับมีวิชาคงกระพัน ระฆังทองคุ้มกาย จึงกร่างไปได้ทั้งแผ่นดิน...จริงๆก็ไปได้แค่เทพนครกับรอบๆ ขืนออกไปไกลมาก ระฆังทองก็อาจจะแตกได้ หากเจอ "วิชาสิบแปดเท้าปราบสุนัข" เข้า

ผลงานของหลวงจีนอี้ซาร่าที่เข้าตาท่านหัวหน้าองค์กรคือ การที่ท่านกับ "ไพเบี้ย ผู้สามหาว" เที่ยวตีฆ้องร้องป่าว ประกาศไปทั่วว่าการตั้ง "สังฆราชา" องค์ใหม่นั้น ยังกระทำมิได้ เพราะมิถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของฝ่ายบ้านเมือง

เพราะหากทำตามที่ "สมาคมจ๋างเหล่า" เสนอขึ้นมานั้น อาจจะกระทบกระเทือนถึงพระราชอำนาจของฮ่องเต้ อันการจะเสนอชื่อ "สังฆราชา" ขึ้นไปทูลต่อฮ่องเต้นั้น สมควรให้ประมุขบู๊ลิ้มคือท่าน "ป๊ะยุด" เป็นผู้เสนอ 

ปกติเรื่องของฝ่ายสงฆ์ สงฆ์ก็จัดการกันไปเอง ฝ่ายทางการหรือบ้านเมืองเพียงแค่รับทราบและส่งต่อไปยังฮ่องเต้ โปรดเกล้าเป็นราชโองการลงมา ให้ปฏิบัติตามที่สงฆ์ต้องการ  ก็เป็นไปอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันปี



วิชาระฆังทองคุ้มกาย 

แต่อย่างว่า เมื่อมีหลวงจีนอี้ซาร่า ที่ฝึกวิชา "ระฆังทองคุ้มกาย" และ "มือลึกลับ" คอยบงการ สั่งการ  ให้หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ คอยเออออห่อหมก เอาศรีษะยกก้นอี้ซาร่าไว้เวลาเดินทางไปหา พร้อมกับแจ้งไปยังกรมสื่อสาร ให้ปิดประกาศไปทั่วเมือง ตามคำร้องขอของหลวงจีนอี้ซาร่า


ถึงแม้ราษฎรทั้งแผ่นดินจะไม่เห็นด้วย และก็รู้ว่าผิดขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของฝ่ายสงฆ์ แต่อย่างว่า วิชาระฆังทองคุ้มกายที่หายสาบสูญไปนาน กลับถูกหลวงจีนอี้ซาร่าฝึกมาได้ จนเกิดความครั่นคร้ามไปทั่ว หามีใครที่จะอาจหาญไปต่อกรด้วย



จะว่าไปแล้ว "ยอดฝีมือ" ที่สามารถกระแทกฝ่ามือทำลายวิชานี้ก็มีอยู่ เพียงแต่ยอดคนเหล่านั้น ทั้ง "บรรพชิตและคฤหัสถ์" ก็คร้านที่จะเอา "พิมเสนไปแลกกับเกลือ" อีกทั้งรู้ว่า "ใครคอยชักใย" อยู่เบื้องหลัง จึงใช้ "ความสงบสยบความเคลื่อนไหว" รอเวลาอันเหมาะสมแล้วค่อยกำราบให้เด็ดขาด "ขุดรากถอนโคน" ขบวนการชั่วร้ายขุมนี้


หลวงจีนทุศีลอี้ซาร่า กับไพเบี้ยผู้สามหาว จะร่วมกันก่อวีรกรรมวีรเวร นำไปสู่การเปิดแนวรบประชันชิด ยุทธภพจะปั่นป่วน วุ่นวาย ศาสนจักรจะเข้าสู่ยุคมืดมนอนธกาล หรือกลับมาสว่างไสวเจิดจ้าดังสมัยพุทธกาล ก็ขอให้ท่านผู้อ่านส่งแรงใจ แรงเชียร์ กันด้วยนะคราบ

พ.พเนจร






วันพุธ

หัวหน้าตงฉ่าง"บิ๊ต๊อก"


บิ๊ต๊อก หัวหน้าตงฉ่าง

ในสมัยที่ท่าน "ป๊ะยุด" เป็นประมุขบู๊ลิ้ม นับเป็นปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อน และก็ถือเป็น "ยุคมืด" ของยุทธภพอย่างแท้จริง ตัวท่านป๊ะยุด แม้จะเป็นถึง "ประมุขบู๊ลิ้ม" แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ดังใจ เพราะยังมีขุมกำลังของ "อำนาจนอกระบบ" กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน 

ท่านป๊ะยุดนั้น มี "พี่น้องร่วมสาบาน" สามคนคือ ป๊ะวิด ป๊ะป๊อก แล้วก็ท่านป๊ะยุด รวมเป็น "ซาป๊ะตังโฮ้ว"(สามเสือบูรพา) ถึงแม้จะมิได้ "กรีดเลือดที่สวนท้อ" แต่ก็ขอ "ร่วมหอลงโลง" เดียวกัน..แม้เกิดคนละวัน แต่ขอตายวันเดียวกัน


สามเสือบูรพา
ซาป๊ะตังโฮ้ว มีพรรค "ไผ่เขียว" เป็นฐาน ควบคุมพรรคค่ายต่างๆ โดยอาศัยกำลังทหารของทางการ บวกกับพี่ใหญ่ "ป๊ะวิด" มีการ "คบหา" กับ "ยอดฝีมือ" ในยุทธจักรอย่างกว้างขวาง

พี่น้องสามเสือนี้ ล้วนแต่เคยเป็น "ขุนพลหน้าบัลลังก์" มาทั้งสิ้น มีประวัติของความจงรักภักดี เป็นที่เชื่อถือได้ ภายหลังพี่ใหญ่กับพี่รอง ล้วนถอนตัวล่าถอย ล้างมือในอ่างทองคำ 

บุญพาวาสนาส่ง "ยุทธภพ" ถึงคราวคับขัน บ้านเมืองเกิด "กลียุค" ช่วงนั้นเผอิญท่านป๊ะยุด เป็นขุนพล "อันดับหนึ่งหน้าบัลลังก์" จึงดับร้อนราษฎร ด้วยการ "ยึดอำนาจ" มาจากท่านยอดยุทธหญิงแห่งแดนเหนือ "ยิ่งเล่อเหนียงเหนียง" แล้วขึ้นปกครองบู๊ลิ้ม

ถึงแม้จะเป็นถึงประมุขบู๊ลิ้ม "ควบคุมค่ายพรรค" ต่างๆทั้งแผ่นดิน รวมถึงกำลังทหารทางการ ทั้งในและนอกด่าน แต่ก็หาใช่ว่าท่านป๊ะยุด จะสามารถบริหารงานยุทธภพได้อย่างราบรื่น เพราะยังมี "คลื่นใต้น้ำ" ที่คอยก่อกวนยุยงราษฎร ให้กดดันท่านจัดการเลือกตั้งประมุขคนใหม่โดยการใช้วิธี "หย่อนบัตร"

และแม้ท่านจะควบคุมค่ายพรรคทั้งหมดไว้ได้ แต่ก็ยังมี "องค์กรลับ" ซึ่งท่าน "เอื้อมมือ" ไปไม่ถึง รวมถึงพวกคณะ "เน่ยเก๋อ" ที่คอยให้คำปรึกษาแก่ฮ่องเต้ คอยอ้างถึง "ราชโองการ" บีบบังคับให้ท่านต้อง "กล้ำกลืนฝืนทน" ในบางครั้ง

ดังเช่นค่าย "ตงฉ่าง" ซึ่งดูแลโดย "บิ๊ต๊อก" ซึ่งทีแรกถูกวางตัวไว้ว่า จะเป็นประมุขบู๊ลิ้ม หลังจากที่ท่านยึดอำนาจ มาจากท่านยิ่งเล่อเหนียงเหนียง


หัวหน้าองค์กรลับ
องค์กรลับนั้น จะบีบบังคับให้ท่าน สละตำแหน่งให้แก่ "บิ๊ต๊อก" นี่แหละ  แต่ท่านคิดว่า "ข้าวตักเองก็ควรจะกินเอง หาควรตักให้คนอื่นไม่" ทำให้ "หัวหน้าองค์กรลับ" นั้น ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนมีความคิดจะปลดท่าน..เอ้ย ยึดอำนาจซ้อนจากท่าน

บิ๊ต๊อกนั้นก็เติบโตมาจาก "พรรคไผ่เขียว" เช่นเดียวกับท่านป๊ะยุด แต่มีใจเอนเอียงไปในทาง "ทุจริต" คิดมิชอบ ด้วยนิสัยที่ "ชอบการพนัน" เป็นชีวิตจิตใจ จึงหลุดจากเส้นชัย ในการแย่งชิงกับท่านป๊ะยุด ในวินาทีสุดท้าย

เมื่อ "อกหัก" จากตำแหน่งประมุขบู๊ลิ้ม แต่อาศัยที่เป็นคน "กล้าทำชั่วทุกรูปแบบ" ถูกใจหัวหน้าองค์กรลับ จึงมอบหมายให้ไปดูแล "ค่ายตงฉ่าง" ซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ถือกฏหมายไว้ในมือ ตีความตามใจชอบ ซึ่งแม้แต่ท่านป๊ะยุด ก็ได้แต่มองตาปริบๆ หรือบางทีก็แอบหลิ่วตานิๆ

ส่วนวีรกรรมวีรเวรของ "บิ๊ต๊อก" จะเป็นเช่นไร เกี่ยวข้องอะไรกับ "หลวงจีนทุศีลอี้ซาร่า" ใครคือหัวหน้าตัวจริงขององค์กรลับ และชะตากรรมของบู๊ลิ้ม ที่ต้องตกอยู่ในมือของ "มารร้าย" กลุ่มนี้จะเป็นเช่นไร ก็คงต้องขอเที่ยวไปเขียนไป พบกันใหม่ฉบับหน้านะคราบบ

พ.พเนจร