วันศุกร์

ขึ้นบู๊ตึง




ใครเป็นแฟน "นิยายกำลังภายใน" อาจจะเคยอ่าน หรือเคยดูหนังเรื่องนี้ ยิ่งถ้าเป็นแฟนของ "กิมย้ง" ยิ่งพลาดไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง "ดาบมังกรหยก" หรือมังกรหยกภาค 3 เคยทำเป็นภาพยนตร์ก็หลายครั้ง ยิ่งซีรี่ส์ไม่ต้องพูดถึง แทบจะ "รีเมค" กันทุกๆ 10 ปี ประมาณ "บ้านทรายทอง" ของเราเลยแหละ

นิยายเปิดฉากมา ก็เป็นความวุ่นวายในยุทธภพ เข่นฆ่าแย่งชิงกันระหว่างสำนักต่อสำนัก ทั้ง "พรรคเทพพรรคมาร" เพราะมีคำโจษจันเล่าลือกันว่า หากใครได้ครอบครองของวิเศษ คือ "ดาบฆ่ามังกร" แล้ว จะขึ้นเป็น "ประมุข" ของยุทธภพ "ไร้ผู้ต่อต้าน"

จากการต่อสู้ช่วงชิงกันหลายสิบปี ในที่สุด "ดาบวิเศษ" ก็ตกอยู่ในมือของ "ราชสีห์ขนทอง" เจี่ยซุน หนึ่งในผู้คุมกฎของพรรคจรัส หรือที่ฝ่ายธัมมะเรียกว่า "พรรคมาร" แต่ทั้งราชสีห์ขนทอง และดาบฆ่ามังกร ก็ได้สาบสูญไปกลางท้องทะเล พร้อมกับศิษย์คนที่ห้า ของเตียซำฮงแห่งบู๊ตึง ทำให้มรสุมในยุทธภพ สงบลงได้ชั่วคราว

วันหนึ่งข่าวก็แพร่ไปว่า ศิษย์คนที่ห้าของ "เตียซำฮง" กลับสู่บู๊ตึงแล้ว  6 สำนักใหญ่ หรือพรรคฝ่ายธัมมะ ต่างมุ่งหน้าสู่เขาบู๊ตึง เพราะอยากมาสืบข่าว ของราชสีห์ขนทอง(จริงๆแล้วอยากมาแย่งชิงดาบฆ่ามังกร)แต่อาศัยการมา "อวยพรวันเกิด" ของเตียซำฮงบังหน้า

ในวันนั้นพรรคฝ่ายธัมมะ "ไม่เลือกวิธีที่ใช้" เพื่อบีบบังคับให้ศิษย์ห้าของบู๊ตึง บอกที่ซ่อนตัวของ "ราชสีห์ขนทอง" ออกมาให้ได้ แต่ด้วยความที่ "เตียชุ่ยซัว"(ศิษย์ห้า)ได้สาบานเป็นพี่น้อง กับราชสีห์ขนทองแล้ว เลยไม่บอก..อนุโลมว่า "รักษาสัจจะ" ก็น่าจะได้ 

สำนักทั้งหลาย เลยกล่าวโทษต่างๆนาๆ ไม่เว้นแม้แต่ภรรยาของเตียชุ่ยซัว ซึ่งเป็นลูกสาวของ "อินทรีคิ้วขาว" อีกหนึ่งผู้คุมกฎ ของพรรคจรัสว่าเป็น "นางมาร" จนสองสามีภรรยาต้อง "ฆ่าตัวตาย" เพราะรักษาความลับให้ราชสีห์ขนทอง

เรื่องนี้ตัดสินอย่างไรดี ราชสีห์ขนทองฆ่าคนมาจริง แต่เตียชุ่ยซัวไม่ได้ฆ่า เพียงไม่บอกที่อยู่ ให้คนอื่นรู้เพราะได้ "สาบานเป็นพี่น้องกัน" ไม่บอกก็ถือว่าเห็นแก่เรื่องส่วนตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม ถ้าบอกก็ถือว่าผิด "สัจจะ" ขายพี่น้อง(คนดีต้องไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน.. ชิมิ)  หรือเตียชุ่ยซัว อาจจะถือคติว่า  ตายก็พูดไม่ได้ เป็นไปได้ว่า "บิ๊กบัง" อาจจะเคยอ่านเรื่องนี้.. "ตัวท่านไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก" คือบทสรุปของ "เตียชุ่ยซัว"

ราชสีห์ขนทอง..เจี่ยซุน
ถ้าพรรคมารบีบบังคับ หรือเข่นฆ่าคนฝ่ายธัมมะ ก็จะบอกว่าเป็นการกระทำ ที่โหดเหี้ยมอำมหิต อภัยให้ไม่ได้ ต้องล้มล้างให้หมดไปจากยุทธจักร แต่หากฝ่ายธัมมะ กระทำเรื่องเช่นนี้บ้าง ก็จะกลายเป็นการ "ผดุงคุณธรรม" สร้างความ "สงบสุข" ให้ยุทธภพ แหมมอ่านแล้วช่างคล้าย "กะลาแลนด์สารขันประเทศ"

เส้นแบ่งระหว่าง "คนดีกับคนเลว" มันอยู่ตรงไหน หรือใครเป็นผู้ออก "กฏเกณฑ์" ถ้ามี "มิเตอร์' ที่เพียงจ่อประชิดตัว ก็สามารถขึ้นเป็น "สเกล" วัดได้เลยว่าคนผู้นี้มีความดี "กี่ขีดกี่โล" แบบเครื่องวัดพลังของชาวนาเม็ก ก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เลิกเถียงกันซะทีว่า ตกลงแล้ว "ใครเลวใครดี" กว่ากัน

จริงๆแล้ว สิ่งที่วัดความดีความเลวของคนนั้นมีอยู่ใน "พระพุทธศาสนา" อยู่แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงแบ่งไว้ชัดเจนตั้งแต่ "มนุษเปโต" คนเพียงดังเปรตหรือ "มนุษติรัจฉาโน" สัตว์ในร่างคน..คุณเอี้ย คุณสัตว์ทั้งหลาย "มนุษเทโว" หรือเทวดาเดินดิน "มนุษพรหมโม" พ่อพระแม่พระทั้งหลาย สมควรยกขึ้นไว้บนหิ้งเท่านั้น

ไม่อยากเป็นมนุษย์สองประเภทแรก ก็ต้องรักษา "ศีล5" ให้ดี  อย่างแรกเลยคือต้อง "ไม่ฆ่า" ถ้าฆ่าไม่ต้องพูดกันหรอกว่า "ธัมมะหรืออธรรม" เทพหรือมาร มันก็ sameๆ รวมถึงไม่สนับสนุน ให้ผู้อื่นฆ่า แม้แต่พวก "ปากว่าตาขยิบ" หน้าสื่อหน้ากล้องก็พูดอย่าง แต่ลับหลังก็แกล้ง "เอาหูไปนาตาไปไร่" รวมถึงอีก "สี่ข้อ" ก็ต้อง "รักษาให้ได้" จึงจะพ้น

"หิริ โอตตัปปะ" หรือ "เทวธรรม" ธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา ความ "ละอาย" และ "เกรงกลัว" ต่อบาป ใครมีก็ "ปิดประตูอบาย" แต่ดูในปัจจุบันแล้ว "หิริ" เลิกพูดไปได้เลย ยกเว้นเวลาให้ "โอวาท" หรือ "สัมภาษณ์" สื่อ คุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม ฟุ้งไปทั่วห้อง ทำให้นึกถึงเพลงเก่า.. ไม่มีอีกแล้วคนชื่อไอ้ธรรม 

"หิริ" หมดหวังไปนานแล้ว คิดไม่ถึง "โอตตัปปะ" ความเกรงกลัวต่อบาป คนเดี๋ยวนี้ยังไม่กลัวกันเลย "ด่าพระด่าเจ้า" กันปาวๆ ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ไม่เคยพบเคยเห็นท่าน แค่อ่านจากสื่อ บวกกับการที่ท่านโดน "ป้าย" ว่าสีอะไรแค่นั้น ไม่คิดจะหาความจริง ไม่คิดจะไปพิสูจน์ แล้วก็เชื่อมั่นในความคิดของตัวว่าถูกต้องแล้ว จนลืม "คำเตือน" ของปู่ย่าตายาย.."ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" เพราะมันเป็นของเผ็ดร้อน ผิดพลาดนิดเดียวแต่ "กรรมมันหนัก"

ส่วนมนุษย์ที่เปรียบดังพรหมนั้น ก็ยกไว้ให้ "ครูบาอาจารย์" หลวงปู่หลวงพ่อ ที่ท่านปลีกวิเวกบำเพ็ญเพียรเถอะ คนอย่างเราๆ เพียงแค่เอาตัวให้รอดก่อน อย่าเพ่อไปพูดถึง "พรหมวิหารธรรม" ชั้นสูงนั้นเลย

ฝ่ายหนึ่งทั้งข่มขู่ ทั้งจาบจ้วงด้วยคำหยาบ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล พยายามหา "ช่องโหว่" ของตัวบทกฎหมาย ไม่มีช่องโหว่ให้ฉวย แค่ "เศษด้ายรุ่ยออกมา" ก็ยังจะพยายามดึงให้ขาด เหมือนคำว่า "ให้" ที่ "ผู้ตรวจการแผ่นดิน" ยกขึ้นมาในการ "แต่งตั้งพระสังฆราช" ว่าต้องให้ "นายก" เป็นผู้เสนอ

ถามจริงๆเถอะ อย่าว่าแต่นายกเลย "ให้" รวมผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย รู้ไหมว่าใน "มหาเถรสมาคม" มีกรรมการกี่รูป ชื่ออะไร สมณศักดิ์ชั้นไหน อยู่วัดอะไร  ไม่อยากจะพูดว่า แค่พระราชาคณะระดับ "สมเด็จชั้นสุพรรณบัตร" มีกี่รูป จะมีปัญญารู้ไหม

ปัดโถ่..นึกง่ายๆ พอเปิดเทอมขึ้นชั้นเรียนใหม่ ได้ครูประจำชั้นคนใหม่ ถามว่าใครตั้ง "หัวหน้าห้อง" มันก็ต้อง "โหวตกันจากนักเรียนในห้อง" หรือไม่ก็ถามจากนักเรียนซึ่งเรียนด้วยกันมา ครูจะไปรู้จักนักเรียนดีกว่าพวกเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมาได้ไง คิดแล้วก็ "เสียดายเงินภาษี" จริงๆเล้ย..ผู้ตรวจการแผ่นดิน

พ.พเนจร




5 ความคิดเห็น:

  1. ดีมากเลย อย่างกะอ่านนิยายบู๊ลิ้ม รออ่านตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ
  2. ดีมากเลย อย่างกะอ่านนิยายบู๊ลิ้ม รออ่านตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ
  3. ดีมากค่ะ อยากให้เขียนมาให้อ่านอีกค่ะ :-))

    ตอบลบ
  4. เหมือนดูหนังจีนกำลังภายในค่ะ แต่ได้ความรู้เรื่องราวปัจจุบันค่ะ

    ตอบลบ
  5. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ