วันศุกร์

แม่ชี"มิกจ้อ"


แม่ชีมิกจ้อ เจ้าสำนักง่อไบ๊

"แม่ชีมิกจ้อ" เป็นเจ้าสำนักงอไบ๊รุ่นที่สาม ส่วนผู้ก่อตั้งสำนักคือ จอมยุทธหญิงก๊วยเซียง(ลูกสาวคนเล็กของก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง) แม้นางจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในการจะประมือด้วยนั้น มิใช่วรยุทธ์ของนาง แต่เป็นกระบี่ในมือนาง.. "กระบี่อิงฟ้า"

ถ้าความปรารถนาสูงสุด ของแม่ชีมิกจ้อคือ การทำให้สำนักงอไบ๊ เป็นผู้นำยุทธภพ หรืออย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกันกับ เส้าหลิน บู๊ตึง งั้นความเกลียดชังที่สุดของนาง ก็คือ "พรรคจรัส" หรือพรรคมาร(ในใจนาง) จะต้องทำลายพรรคนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตนางก็ยอม

ก็นางเป็น "สำนักธัมมะ" จะอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับ "พรรคมาร" ได้ไง ต้องจรรโลง "คุณธรรม" และเพื่อความ "สงบสุข" ของยุทธภพ ถึงแม้บางครั้งจะต้อง "ฝ่าฝืนกฏ" ของการเป็น "พรรคฝ่ายเทพ" มั่งก็ต้องอะลุ้มอล่วยกาน(คล้ายๆเมืองสารขัณฑ์อีกแล้ว) 

เช่นครั้งหนึ่ง ที่นางสู้รบกับสาวกของพรรคจรัสได้ชัยชนะ ที่ "ฆ่า" ไปแล้วก็มากมาย ที่ "ทิ้งอาวุธ" ยอม "จำนน" ก็อีกหลาย แต่นางไม่รับน้ำใจ กลับ "สั่งฆ่า" คนที่เหลือให้หมดสิ้น จนลูกศิษย์ต้องเอ่ยปาก "เตือน" แต่นางตอบว่า เพราะพวกนั้นเป็น "ฝ่ายมาร" สมควรฆ่า

การขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนัก ของนางมิได้กล่าวไว้ แต่การเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง ต่อจากนางนั้นซิ ช่างน่า "กล่าวถึง" เสียนี่กระไร และเป็นเหตุให้ "พี่น้อง" ในสำนักต้องห่ำหั่นกันเอง แถม "ผู้สืบทอด" ก็ต้อง "กล้ำกลืนฝืนทน" จนในที่สุดก็ตกไปสู่ "จิตแห่งมาร"

"ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว" ยิ่งคุณขึ้นสู่ตำแหน่งสูงเท่าไร เพื่อนรอบข้างก็น้อยลงเท่านั้น จะเหลือสองพวกหลักๆ หนึ่งนั้นอยู่เพราะเกรงหรือกลัวคุณ สองอยู่เพราะได้ผลประโยชน์จากคุณ

งั้นฉั้นขออยู่ชั้นล่าง ไม่ขึ้นข้างบน จะได้ไม่โดนลมไม่หนาว เอ้อ..บุญพาวาสนาส่ง สามล้อยังถูกหวย คนรวยๆอย่างเรา จะไม่ให้เป็นใหญ่เป็นโตก็คงไม่ได้ (เหมาเอาว่าคนที่ได้อ่าน blog นี้มีบุญทุกคน เมื่อมีบุญก็ต้องรวย ของมันห้ามกันไม่อยู่ ลูกจะเข้าประตูและเลสเตอร์จะเป็นแชมป์)

มิใช่จะบอกว่า งั้นท่านเหล่านั้น จะไม่มีคนข้างกายที่รักกันจริง หรือปรารถนาดีจากใจจริงเลยหรือไร มีได้..แต่คุณต้องมีพรหมวิหารธรรม หรือที่เรียกกันว่าพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ซึ่งเป็นธรรมของผู้ปกครอง (ที่ทำรูปปั้นพระพรหมมี 4 หน้าสันนิษฐานว่ามาจากเหตุนี้)

องค์กรหรือหน่วยงาน แม้แต่รัฐบาลไหนๆ ที่จะมีประวัติศาสตร์มายาวนาน อย่าเอาว่าเท่าเลย ต่อให้ซัก 500 ปี  มีไหมที่เก่าแก่กว่าพระพุทธศาสนา(คริสต์เกิดหลัง 543 ปี)บางท่านอาจจะเถียงว่า ศาสนา "พราหมณ์" แต่นั่นประวัติไม่ชัดเจน

คณะสงฆ์ปกครองกันด้วยอะไร ถึงอยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้ "ธรรมและวินัย" ครับผม ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งไว้ก่อนปรินิพพาน ว่าจะเป็น "ศาสดาแทนพระองค์" มิใช่องค์กรใดๆทั้งสิ้น มิใช่คุณวิทย์หรือคุณไพหรือ DSI เวรตะไลนั่น อุ๊ย.ถอนๆ แม้กระทั่งผู้ตรวจการแผ่นดินหรือองค์กรอิสระทั้งหลาย สงสัยคุณวิทย์ อ้อน้อย จะสังกัดที่นี่นี่เองพวกชอบอิสระ

การประชุมมหาเถรสมาคม

"มหาเถรสมาคม" ก็เป็นองค์กรหรือหน่วยงาน ที่มีไว้คอยสอดส่องดูแลพระภิกษุ ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย หรือก็คือใน "โอวาทของพระบรมศาสดา"โดยมี "พระมหาเถระ" ที่มีประวัติการทำงานดี และจริยาวัตรที่งดงาม เป็นที่ยอมรับในสังฆมณฑล มาเป็นตัวแทนหรือกรรมการ

สงฆ์ปกครองสงฆ์มาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว เพราะยึดในพระธรรมวินัยเดียวกัน ผิดก็รู้กันหมดว่าผิด ถูกก็รู้กันหมดว่าถูก ไม่มีใครรู้มากกว่าใคร ไม่มีการเอาพระวินัยมาตีความว่า “ให้” คนนี้เป็นคนทำหรือคนโน้นทำ 

ท่านปกครองดูแล "สังฆมณฑล" เสมือนบิดาดูแลบุตร ด้วย "พรหมวิหารธรรม" นี่แหละ คือเมตตา กรุณา ให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริม การเรียนการสอนนักธรรมบาลี ความเป็นอยู่ของพระหนุ่มเณรน้อย วัดไหนสำนักไหนมีผลงานดี ทั้ง "การศึกษาหรือเผยแผ่" ก็แสดงมุทิตาจิต ด้วยการ "ยกย่อง" "เชิดชู" ให้กำลังใจ ส่วนในที่สุด จะมีพระรูปใดไม่สามารถปฏิบิติตน ให้เหมาะสมกับสมณเพศได้ ก็ต้องวางอุเบกขา ให้ลาสิกขาเพศไป

อึ้งเอี๊ยซือ เจ้าเกาะดอกท้อ
ไม่มีการฆ่า ไม่มีการประหัตประหารกัน ให้ตกตายไปข้าง ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ และไม่มีการ "ยื้อแย่งอยากเป็นประมุข" เพราะนั่นหมายถึง ความเหนื่อยยากลำบาก ที่ต้องตามมากับตำแหน่ง แค่ภาระที่รับอยู่ทุกวัน เมื่อเปรียบเทียบกับวัยของแต่ละท่าน แล้วก็เรียกว่าหนักหนาสาหัสเกิน..ปรารถนาจะสร้างเกาะดอกท้อ "ปลีกวิเวก" เฉกเช่นอึ้งเอี๊ยซือ มิได้มีความ "กระตือรือร้นสน" ใจดังเช่นอึ้งย้ง

กลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เอ่ะ..ตกลงนี่จะเขียนเรื่องบู๊ล้ิมหรือพระพุทธศาสนากันแน่ ชักงง เอาว่านึกไรออกก็บอกไปละกันนะครับ เพราะเขียนฟรี(สไตล์)อยู่แล้ว 

สตรีเช่นแม่ชีมิกจ้อ ทีแรกก็คิดว่าคงมีแต่ในนิยาย ผู้หญิงอะไรจะโหดได้ขนาดน้าน จนเมื่อวันก่อนอ่านเจอเรื่อง "สตรีถือหอก" โป๊ะเชะ นั่นต้องเป็นแม่ชีมิกจ้อ "กลับชาติมาเกิด" เเหง๋ๆ

ก็ลองคิดดู แม่ชีมิกจ้อท่านฆ่า ฆ่า ฆ่า แล้วก็ฆ่า คนที่ท่านตัดสินว่าเป็นพรรคมาร เพื่อให้ยุทธจักรสงบสุขเหลือแต่พรรคเทพ หรือสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ ปกครองยุทธภพ แต่ท้ายที่สุด ท่านก็ต้องตกตายเสียเอง (ตกจริงๆ ตกจากยอดเจดีย์)

นางก็คงมีความปรารถนาดี ต่อยุทธภพจริงๆ อยากจะให้เป็นสังคม ในอุดมคติ มีแต่ "คนดี" ไม่มี "คนเลว" เพียงแต่วิธีการที่นางใช้ มันออกจะ "อำมหิต" ไปหน่อย และก็ยึดมั่น ในความคิดของตัวเอง จนเกินไป และท้ายที่สุด พรรคมารก็มิใช่มารดังที่นางเข้าใจ

ส่วนว่าสตรีถือหอกผู้นั้น ถึงแม้มิได้ฆ่าด้วยตัวเอง แต่การยื่นหอก ให้คนอื่น "ทำลายพระพุทธศาสนา" โดยสร้างความแตกแยก ในหมู่พุทธศาสนิกชน โดยหลงละเมอว่าตัวเองยังคงมี "กระบี่อิงฟ้า” อาจจะไม่ใช่แค่ตกเจดีย์ตาย แต่จะ "จมธรณีสู่อเวจีมหานรก"

พ.พเนจร



3 ความคิดเห็น:

  1. ข้าน้อย คารวะหนึ่งจอก นับถือ นับถือ

    ตอบลบ
  2. ตกลงสตรีผู้ถือหอกเป็นคนสำนักง้อไบ๊นี่เอง นางมักอาศัยอยู่ในเรือนกระจกหรอ หุหุ...

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ01:19:00

    ชอบวลีที่ว่า...เมื่อไหร่ที่ขึ้นสู่อำนาจสูงสุดแล้ว คนที่จะติดตามเรามีสองจำพวก คือพวกแกรงกลัวบารมีเรา และพวกได้ประโยชน์จากเรา

    ตอบลบ